Skip to main content
Uncategorized

ขายออนไลน์ 2023 E-Commerce จะเกิดอะไรขึ้น ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง

By January 22, 2023No Comments

ปี 2023 เรียกได้ว่าน่าจะเป็นปีที่เข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 อย่างชัดเจนครับ การขายออนไลน์ ปี 2023 และการทำตลาด E-Commerce คงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องปรับตัวกันอีกครั้ง หลังจากปรับตัวกันมาครั้งใหญ่ในช่วงโควิด หลักๆ ก็จะเป็นในเรื่องเหล่านี้

  • การเปิดทำการอย่างเป็นปกติของแหล่งท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า
  • การเปิดประเทศของจีน
  • การใช้ชีวิตนอกบ้านที่จะกลับมาเหมือนๆ กับช่วงก่อนโควิด
  • การมาของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะ AI ที่ทั้งน่าทึ่งและน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน
  • เรื่องของการใช้สื่อ Social Media รวมทั้ง E-Commerce Platform ที่เปลี่ยนแปลงไป
  • การปรับตัวอีกครั้งของ บริษัทใหญ่ๆ ที่หลังจากสร้างโครงสร้างทางด้านออนไลน์แข็งแกร่งมาระดับหนึ่งแล้วในช่วงโควิด

สิ่งเหล่านี้จะกระทบกับการทำธุรกิจออนไลน์ในปี 2023 อย่างไร และสำหรับผู้ประกอบการ E-Commerce รวมถึงผู้ทำธุรกิจทั่วๆ ไป จะต้องปรับตัวและรับมืออย่างไร เรียกได้ว่าจะเป็นปีที่ท้าทาย และน่าสนใจไม่น้อยครับปีนี้ (ซึ่งจริงๆ มันก็ท้าทายทุกปีนั่นแหละ)

E-Commerce ปี 2022 เป็นอย่างไร

ในช่วงโควิด (2019-2022) การใช้งาน Internet รวมถึง Platform ออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การสั่งอาหารออนไลน์ Food Delivery (Food Panda, Grab, Line Man), แพลตฟอร์ม Marketplace (Lazada, Shopee), Game ต่างๆ ไม่ว่าจะบน PC หรือ มือถือ, Social Media ทั้ง Facebook, TikTok, Youtube ต่างมียอดการใช้งานพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะว่าคนไม่สามารถออกไปไหนได้ รวมถึงไม่อยากออกจากบ้านไปเสี่ยงกับโควิด เป็นตัวส่งเสริมให้ทุกๆ คนเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตและใช้บริการต่างๆ ผ่านโลกออนไลน์ การสั่งอาหารออนไลน์ เรียกคนมารับของส่งของผ่านออนไลน์ การซื้อของออนไลน์ หรือ E-Commerce กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือน่าตื่นเต้นอะไร ใครๆ ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

บริษัทใหญ่ๆ ที่เคยอยู่ในห้างสรรพสินค้า หรือ มีหน้าร้าน ขายผ่านหน้าร้านเป็นหลัก ปรับตัวเข้ามาในโลกออนไลน์กันมากขึ้น เราจะเห็นได้ว่า แบรนด์ใหญ่ๆ ต่างเข้าไปขายสินค้าผ่านทาง Marketplace (Lazada, Shopee) และ มีการลงทุนโฆษณาผ่านทาง Social Media โดยเฉพาะ TikTok และ Youtube มากขึ้นทุกๆ ปี

อิทธิพลของ KOL หรือ Influencer หรือที่เราเรียกกันว่า เน็ตไอดอล สูงมากขึ้น และในบางครั้ง มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของลูกค้า มากกว่า Celebrity หรือ ดาราที่อยู่ในวงการ ซะอีก

และมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เรียกได้ว่า มองข้ามไปคงไม่ได้ นั่นคือ AI โดยเฉพาะ ChatGPT ที่ใช้งานง่าย และน่าจะเข้ามามีบทบาทต่อการทำการตลาดออนไลน์ในอนาคตอย่างแน่นอน

ปี 2023 เราจะได้เห็นอะไรกันบ้างสำหรับ การตลาด และ E-Commerce

ต้องบอกว่า สิ่งที่จะพูดต่อไปคือการคาดเดาบนพื้นฐานความรู้ที่ผมมีอยู่ อาจจะเป็นจริง หรือไม่เป็นจริงก็ได้ ซึ่งไว้เราจะมารีวิวกันอีกทีในปีหน้าครับ แต่หลักๆ ที่ผมมองว่าเราจะได้เห็นคือ

  • การซื้อ-ขายออนไลน์ หรือ E-Commerce จะทรงตัวในปีนี้ ขึ้นหรือลงไม่หวือหวานัก
  • ทุกๆ คนมุ่งสู่ Short Video ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Short (Youtube), Reel (Facebook และ Instagram)
  • Marketplace หลัก Lazada และ Shopee ยังคงแข่งขันกันรุนแรงต่อไป แต่โปรโมชั่น ส่วนลดต่างๆ จะไปเน้นที่ Mega Campaign เช่น 11.11 และ 12.12 มากกว่า Campaign เล็กๆ น้อยๆ
  • สินค้าจีนนำเข้าจากจีน นอกจากจะกินตลาดสินค้าราคาถูกแล้ว จะถูกยอมรับมากขึ้น แบรนด์จีนจะไม่เป็นแค่แบรนด์ราคาถูกอย่างเดียว และถูกยอมรับมากขึ้น
  • Personal Branding มีความสำคัญสูงยิ่งขึ้น และ มีการแข่งขันมากยิ่งขึ้น
  • Community จะมีความสำคัญสูงมากขึ้นสำหรับการขายสินค้าและบริการ และในที่สุดจะกลายเป็นเทรนด์หลักในการทำการตลาด และจะเริ่มเห็นกลยุทธการสร้าง Community ของแบรนด์ต่างๆ
  • Affiliate Marketing จะเริ่มเป็นที่รู้จัก และมีการแข่งขัน รวมถึงมีการใช้งานจากแบรนด์ต่างๆ มากขึ้น

การซื้อ-ขายออนไลน์ หรือ E-Commerce จะทรงตัวในปี 2023

โดยปกติแล้ว เราเคยชินกับการที่พบว่า อัตรการเติบโตของธุรกิจออนไลน์หรือ E-Commerce จะขยายตัวหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แล้วยิ่งในช่วงปี 2019-2021 เราจะพบว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจออนไลน์และ E-Commerce เพิ่มสูงมากถึง 100% หรือก็คือ 2 เท่าเลยทีเดียว ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่ขายของออนไลน์ในบางธุรกิจ ขายดีอย่างบ้าคลั่ง ในช่วงโควิด ซึ่งธุรกิจผมบางธุรกิจก็ได้รับอานิสงค์จากการปิดเมือง คนเดินทางไปไหนไม่ได้ อยู่บ้านเลยต้องสั่งของทางออนไลน์อย่างเดียว ทำยอดสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

แต่สำหรับปี 2023 ซี่งเป็นยุคหลังโควิด หลายสิ่งหลายอย่างกำลังกลับสู่ในจุดที่มันจะเป็น ซึ่งก็คือ

  • ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น
  • มีการจับจ่าย ใช้สอย นอกบ้านมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งออนไลน์อย่างเดียว
  • การท่องเที่ยวกลับมา และผู้คนโหยหาการออกไปเที่ยว หลังจากที่ไม่ได้เดินทางมานาน

ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จึงไม่แปลกที่เราจะใช้เวลาในโลกออนไลน์น้อยลง การจับจ่ายใช้สอยทางออนไลน์น้อยลง เม็ดเงินที่จะจับจ่ายใช้สอยผ่านทางการซื้อของออนไลน์จึงลดลงไปด้วยนั่นเอง

นอกจากนี้ อีกข้อหนึ่งที่สำคัญคือ ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยมีมากถึง 80% ของประชากรทั้งหมด และ 95% ของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในเมืองใหญ่ ใช้ E-Commerce เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ดังนั้น เราจะไปหา New User หรือ คนที่ไม่เคยซื้อของออนไลน์ ให้มาซื้อของออนไลน์ เป็นลูกค้าใหม่เพิ่มแทบไม่ได้แล้วอีกนั่นเอง เพราะก็ใช้กันแทบทั้งประเทศแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้บอกว่า E-Commerce จะถดถอย เพียงแต่เราคงไม่ได้เห็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดรุนแรงแบบในช่วงโควิดอย่างช่วงปี 2019-2022 ที่ผ่านมา แต่ก็หวังว่า การที่ภาคการท่องเที่ยวของเรากลับมา จะทำให้เศรษฐกิจบางภาคส่วนดีขึ้น และผู้คนมีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นครับ

ต้องทำอย่างไรถ้าอัตราการซื้อ-ขายออนไลน์ค่อนข้างทรงตัวในปี 2023

การที่อัตราการเติบโตในระดับมหภาค หรือภาพรวมใหญ่ อาจจะทรงๆ ก็มีโอกาสทำให้การดำเนินธุรกิจนั้นๆ ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ผมต้องบอกว่า E-Commerce หรือขายของออนไลน์ยังคงเป็น Mega Trend หรือ ธุรกิจดาวรุ่งที่เติบโตสูง อย่างน้อยก็น่าจะอีกสัก 3 ปี สิ่งที่เราต้องทำไม่ใช่หนีหรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แต่อาจจะต้องปรับตัวในบางเรื่อง เช่น

  • เพิ่มช่องการตลาดให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Youtube, Facebook, Instagram, Line, Lazada, Shopee หรือ Website ของเราเอง
  • เพิ่มสินค้าหรือบริการ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม แน่นอนว่า การทำยอดขายให้เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากสินค้า 2 ตัว เป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามาก เมื่อเทียบกับการทำยอดขายให้เพิ่มขึ้น 2 เท่า จากสินค้าตัวเดิมตัวเดียว
  • หากเราสามารถพัฒนาให้มีหน้าร้าน หรือ ช่องทาง Offline ได้ ให้ลองมองดูว่าคุ้มค่าที่จะทำหรือเปล่า
  • ถ้ายังมองหาช่องทางในการทำสิ่งใหม่ๆ ไม่เจอ ให้มองถึงการพัฒนาสิ่งที่เรามีอยู่ เพื่อลดต้นทุน หรือ เพื่อรองรับการพัฒนาต่างๆ ในอนาคต เช่น ระบบหลังบ้าน ERP, การเก็บข้อมูลที่เหมาะสม เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ธุรกิจ หรือ แม้กระทั่งรองรับการใช้ AI ในอนาคต, พัฒนาบุคคลากรในองกรณ์ เป็นต้น

สิ่งสำคัญถ้าเราจะเติบโตท่ามกลางความท้าทายคือ เราต้องกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ นั่นเอง

Short Video คือ เทรนด์ที่สำคัญที่สุด ที่ทุก Platform มี

TikTok ได้พิสูจน์แล้วว่า Short Video หรือวีดีโอสั้นๆ เป็นเทรนด์ของโลก ด้วยอัตราการใช้งาน และจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างสูง และคงปฎิเสธไม่ได้ว่า Reel ของ Facebook และ Instagram รวมถึง Short ของ Youtube ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก TikTok (ในขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ ม.ค. 2023 Lazada ได้รองรับ Short Video ใน Feed แล้ว แต่ทาง Shopee ยังไม่เห็นนะครับ หรือผมอาจจะหาไม่เจอเองก็ได้)

การทำ Short Video มีความแตกต่างจากการทำ Video บน Youtube หรือ Facebook แบบเดิมๆ คือ

  • Short Video เน้นความ Real เป็นธรรมชาติ ความเป็นตัวตน ไม่ได้ต้องการความเป็นมืออาชีพ
  • ต้องรวบรัด รวดเร็ว ใช้เวลาประมาณ 1-3 นาที สำหรับ Short Video 1 คลิป
  • เน้นการสร้างเรื่องราว Story มากกว่าการขาย หรือ ฟังก์ชั่น ของสินค้า
  • แสดงถึง Life Style การใช้ชีวิต มากกว่า การสร้างแบรนด์

ถึงแม้ Short Video จะเป็นของใหม่สำหรับหลายๆ คน แต่ข้อดีคือ ทุก Social Media รองรับหมดแล้ว และคงเดาไม่ยากว่า Marketplace ทั้ง Lazada และ Shopee รวมทั้ง E-Commerce ต่างๆ จะต้องรองรับตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้น เราจึงสามารถเน้นทำ Short Video เพียงตัวเดียว แล้วนำลง Social Media ทุก Platform ได้เลย อย่างไรก็ตามต้องบอกว่า แต่ละ Platform ก็มีจุดแข็งเฉพาะตัว รวมถึงมีผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน การที่จะบอกว่า Short Video1 คลิป จะได้ผลตอบรับดีสำหรับทุก Platform ก็เป็นเรื่องที่อาจจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีกว่าถ้าเรามีทรัพยากรในช่วงเริ่มต้นน้อย

ต้องปรับตัวยังไง เมื่อ Short Video กลายเป็นเทรนด์ของโลก

ก็ต้องสร้าง Short Video ตอบได้ตรงๆ แค่นั้นเลย ซึ่งกลยุทธการที่จะสร้าง Short Video ลงบน Platform ต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแบรนด์หรือผู้ทำธุรกิจนั้น เช่น

  • ตั้งทีมในบริษัทเพื่อรับผิดชอบการสร้าง Short Video และสร้าง Content โดยเฉพาะ
  • จ้าง Agency รับผิดชอบ
  • เลือกใช้ KOL หรือ Influencer ทำ Content
  • คิด Challenge เพื่อให้ผู้คนมีส่วนร่วมในการสร้าง Short Video
  • สำหรับบางธุรกิจที่ใช้ CEO Branding หรือ Personal Branding เจ้าของก็สามารถออกมาทำ Short Video เองได้

สำหรับ Platform ต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Youtube, Facebook, Instagram, Line Voom เราจะมอง Short Video เหมือนการสร้างเรื่องราว การบอกเล่า การ Broadcast ไม่ใช่การขายสินค้า หรือถ้าขาย ก็จะเน้นไปที่ความสนุกสนาน หรือ Challenge ไม่ใช่มาขายกันตรงๆ

และอีกเรื่องหนึ่งคือ ความสม่ำเสมอ เราต้องสร้าง Short Video ออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้ลูกค้าหรือคนที่จะมาเป็นลูกค้าเรามีปฎิสัมพันธ์กับแบรนด์หรือสินค้าอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้สินค้าและบริการของเราก้าวเข้าสู่การเป็น Top of Mind ให้ได้นั่นเอง

Lazada และ Shopee ยังคงแข่งขันกันรุนแรงในปี 2023

ถึงแม้ผมจะเป็น LazStar หรือ ผู้ที่ได้รับการรับรองจาก Lazada ว่ามีความรู้และสามารถสอนผ่าน Lazada University ได้ รวมถึงเป็น Top Seller ของทั้ง Lazada และ Shopee แต่ข้อมูลต่อไปนี้ เป็นมุมมองของตัวผมเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Lazada หรือ Shopee หรือบุคคลอื่นใดนะครับ

โดยส่วนตัวมองว่า Marketplace Platform ในประเทศไทย ซึ่งหลักๆ ก็คือ Lazada และ Shopee ยังคงจะแข่งขันกันต่อไปอย่างรุนแรง ยังไม่เข้าใกล้บทสรุปของการแข่งขัน เหตุผลคือ

  • ถ้าพูดถึงธุรกิจรูปแบบ Platform แล้ว จะมีลักษณะของ Winner takes ALL หรือก็คือ มีผู้ชนะเพียงคนเดียวเท่านั้น
  • Lazada และ Shopee มีความเหมือนกันมากเกินไป ในแง่ของสินค้า บริการ และ กลุ่มลูกค้า ซึ่งสุดท้ายแล้ว น่าจะมีเพียง Platform เดียวที่อยู่รอด
  • เมื่อยังไม่มีความแตกต่าง และต้องเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว การแข่งขันจึงยังคงต้องดำเนินต่อไป
  • จุดเปลี่ยนที่จะสิ้นสุดการแข่งขัน น่าจะเป็น
    • เมื่อ Platform ทั้งสองสามารถสร้างความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน คล้ายๆ กับ Amazon, Ebay, Etsy ซึ่งเป็น Marketplace เหมือนกัน แต่ว่ามีสินค้า กลุ่มลูกค้าต่างกัน
    • เมื่อมี Platform ใด Platform หนึ่งยอมแพ้ และเลิกทำธุรกิจในประเทศไทย
    • เมื่อมีการควบรวม หรือ ขายบริษัทให้แก่กัน

โดยในช่วง 2022 ทางฝั่ง Shopee มีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนค่อนข้างสูง และทางบริษัทแม่ Sea มีนโยบายลดค่าใช้จ่าย ในขณะที่ Lazada มีกำไร เราอาจจะเห็นการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมบางอย่างสูงขึ้น และการใช้เงินของทั้ง 2 Platform อาจจะไม่ได้มาเน้นเรื่องแจกส่วนลดมากๆ เยอะ เหมือนเมื่อก่อน แต่จะเน้นการลงทุนพัฒนาระบบต่างๆ มากขึ้น และเน้นไปที่ Mega Campaign หรือ Campaign ใหญ่ๆ (11.11 หรือ 12.12) มากกว่า

อย่างไรก็ตาม ผมต้องย้ำอีกครั้งว่า มุมมองเหล่านี้เป็นแค่การคาดการณ์จากตัวผมเท่านั้น

การขายสินค้าบน Lazada และ Shopee ต้องเตรียมตัวอย่างไรในปี 2023

Marketplace เช่น Lazada Shopee ถือว่าเป็นตัวปิดการขายที่มีประสิทธิภาพสูงมากๆ อันนี้ผมวัดจากตัวเอง และเชื่อว่าหลายๆ คนก็เป็นเช่นกัน คือ ไม่ว่าจะไปเจอสินค้าจากที่ไหน เช่น เห็นโฆษณาบน Facebook หรือ TikTok หรือ ค้นหาสินค้าหรือบริการผ่าน Google ไปที่ Website หรือ แม้ว่าจะคุย Line กับผู้ขายแล้วก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรก็จะค้นหาสินค้านั้นดูบน Lazada และ Shopee และตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าจาก Marketplace ที่ให้ราคาดีที่สุด หรือ มีความเชื่อมั่นมากที่สุด น้อยครั้งมากที่ผมซื้อสินค้าผ่านทาง Facebook Messenger หรือ Line หรือ Checkout ผ่าน Website ยกเว้นว่าจะหาจาก Lazada หรือ Shopee ไม่ได้แล้วจริงๆ ด้วยเหตุผลที่สำคัญ คือ

  • สินค้าบน Lazada และ Shopee จะมีราคาถูกที่สุด เพราะเป็น Platform ที่แข่งขันกันด้านราคาโดยเฉพาะ
  • รีวิวบน Lazada และ Shopee เชื่อถือได้ ยิ่งร้านที่มีรีวิวเยอะก็ยิ่งมีความน่าเชื่อถือ และขายดีขึ้น
  • คุณภาพสินค้า การจัดส่ง การตอบแชต การคืนสินค้า ทำได้ดีมีมาตรฐาน ทำได้ง่าย เพราะทั้ง Lazada และ Shopee ต่างเน้นเรื่องเหล่านี้ให้ร้านต่างๆ ทำให้ดี เพื่อเป็น ร้านแนะนำ หรือ LazPick ร้านต่างๆ จึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
  • ช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ทั้ง เก็บเงินปลายทาง โอนเงิน QR Code ตัดบัตรเครดิต ผ่อนชำระ
  • มีการลดราคาช่วง Campaign แจกคูปอง เครดิตเงินคืน และโปรโมชั่นอื่นๆ รวมไปถึงการทำ Flash Sale ที่ทำให้ราคาสินค้าถูกมากๆ

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ Lazada และ Shopee จึงมักจะเป็น Platform ที่ทำให้เกิดการซื้อ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายในการตัดสินใจของลูกค้าใน Funnel AIDA (ถ้าไม่นับ Advocate หรือ การซื้อซ้ำ) และนี่คือจุดสำคัญที่เราต้องเข้าใจ ถึงแม้ว่า Marketplace Platform เช่น Lazada และ Shopee จะเป็นตัวปิดการขาย แต่ว่าการ ค้นพบสินค้า การให้ข้อมูลลูกค้า การสร้างแบรนด์ สร้างตัวตน หรือสร้าง Community นั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เกิดที่ Marketplace แต่จะไปเกิดที่ Platform อื่นๆ เช่น

  • ค้นหาข้อมูลผ่าน Google และ Youtube
  • เจอโฆษณาทาง Facebook
  • เห็น Challenge ทาง TikTok หรือ เห็นคลิปรีวิวจาก TikTok

ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า Marketplace เช่น Lazada และ Shopee มีลักษณะเป็นอย่างไร สิ่งที่เราต้องเน้นย้ำ และทำให้ได้คือ

  • ลดต้นทุนสินค้าและการทำงานของเรา เพื่อราคาสินค้าที่ถูกที่สุด
  • เน้นการสร้างรีวิวสินค้าบน Lazada และ Shopee เพราะเป็นสิ่งเดียวที่สร้างความแตกต่างได้ และมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าที่สุด
  • สร้าง Content ผ่านทาง Platform อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Youtube, Facebook, Instagram หรือ Website ของเราเอง และแนะนำช่องทางการซื้อมาที่ Lazada หรือ Shopee
  • มองว่า Lazada และ Shopee เป็นแค่หนึ่งในช่องทางในการปิดการขาย และขยายไป Platform อื่นๆ มากขึ้น

ขายสินค้าจีน ปี 2023 จะเป็นอย่างไร

ผมเชื่อว่า ผู้ขายสินค้าจากประเทศจีนได้ปรับตัวครั้งใหญ่ไปในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาแล้ว ทั้งนี้เพราะ

  • มีชาวจีนเข้ามาอยู่เมืองไทยเป็นจำนวนมาก และชาวจีนเหล่านั้นเข้ามาเช่าโกดัง นำเข้าสินค้าจากจีนแล้วขายในไทยราคาที่ถูก
  • มีการส่งสินค้าจากแบรนด์จีน หรือ โรงงานจีนโดยตรง ถึงบ้านลูกค้า ซึ่งเป็นการขายแบบ B2C (แล้ว B คือ B จากจีนด้วยนะ) ราคาจึงถูกมาก
  • สินค้าจีนที่ขายโดยคนจีน ส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียภาษีแบบคนไทย

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้สินค้าจีนราคาถูกมาก และสร้างปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการชาวไทย ไปตั้งแต่ พ่อค้าคนกลาง ไปจนถึงเจ้าของโรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วน่าเห็นใจนะครับ เพราะลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่มักจะสะใจและสมน้ำหน้าผู้ประกอบการไทยด้วยกันเอง โดยให้เหตุผลว่า

  • พ่อค้าคนกลาง เอาเปรียบ เอากำไรมานานแล้ว หายๆ ไปก็ดี
  • โรงงานกำไรเยอะมานาน เอาเปรียบพนักงานจนเคยตัว
  • พวกไม่ยอมปรับตัว ก็ต้องสูญพันธุ์
  • มันเป็นกลไกทางตลาด เป็นผลดีต่อผู้บริโภค

แต่ผู้ประกอบการหลายๆ คนก็ผ่านพ้นมาได้ และแน่นอน ในปี 2023 ผมเชื่อว่าเราจะเจอสินค้าจีนบุกตลาดหนักขึ้น จากการที่จีนเปิดประเทศอีกครั้ง และการที่มีโกดังใหญ่ๆ มาเปิดที่ประเทศเราโดยตรง สิ่งที่เรากำลังจะเจอคราวนี้คือ สินค้าที่กำลังจะมารอบนี้ ไม่ใช่สินค้าราคาถูกอย่างเดียว แต่เป็นสินค้าคุณภาพดีจากจีน ที่ราคาดี อาจจะไม่ถูกที่สุด แต่ก็ถือว่าจับต้องได้ พร้อมทั้งการมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ สินค้าตระกูล Xiaomi และ Xiaomi Youpin นั่นเอง แต่คราวนี้คงมาอีกหลากหลายแบรนด์ครับ

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่จีน และผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงคาดเดาได้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมันเป็นลักษณะที่เกิดมาแล้วในทุกประเทศที่กำลังพัฒนา คือ

  • ค่าครองชีพ และ ค่าแรง ที่จีน ไม่ได้ถูกเหมือน 10-20 ปีแล้ว
  • จีนเอง ก็ไม่ได้อยากจะผลิตแต่ของราคาถูก หรือ ของที่คุณภาพไม่ดี ตลอดไป
  • เทคโนโลยีการผลิต รวมถึงความรู้ความสามารถของจีน ถือว่าเป็นผู้นำของโลกได้แล้ว
  • ทรัพยากรและเงินมหาศาล ที่จีนมีอยู่ ทำให้จีนสามารถทำอะไรได้หลายๆ ที่เราคาดไม่ถึง
  • การแข่งขันกันอย่างสูง ทั้งเรื่อง สินค้า และ บริการ เพราะมีคนอยู่เยอะมากในจีน

สิ่งเหล่านี้ ทำให้ต่อไป เราจะเริ่มเจอ สินค้าจีนคุณภาพดี ราคาจับต้องได้ ที่มีทั้งการขายตรงจากโรงงาน และขายผ่านตัวแทนในไทย พร้อมบริการที่ดี และเผลอจะเจอ KOL หรือ Influencer จากจีนไลฟ์ขายของด้วย

ถ้าขายของจากจีน ต้องปรับตัวยังไงในปี 2023

อันนี้รวมถึงคนที่กำลังจะเจอสินค้าจากจีนมาตีตลาดในช่วงเวลาอันใกล้ด้วยนะครับ จากประสบการณ์ของผม คงต้องบอกว่า แม้จะยาก แต่ก็ยังมีช่องว่างให้เราสามารถอยู่ได้อยู่ สิ่งที่เราต้องทำถ้าเราเกี่ยวข้องกับสินค้าจีนในปี 2023 คือ

  • ถ้าคิดว่าสู้ไม่ได้ หมดแล้วซึ่งหนทาง การเลิกขายสินค้านั้นๆ ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ
  • สินค้าหลายๆ อย่าง ถ้าเลิกนำเข้าจากจีน แต่หาโรงงานผลิตในไทย อาจจะได้ราคาดีกว่า โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับไม้ และ พลาสติก ที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสูงมาก
  • สู้ไม่ได้ ก็เข้าเป็นพวก เข้าเป็นตัวแทนจำหน่ายไป
  • สร้างแบรนด์ เปลี่ยนหน้าตาสินค้า ให้แตกต่าง ก็จะดูเหมือนคนละสินค้ากัน
  • สร้างตัวตน Personal Branding การขายก็จะไม่ติดปัญหาเรื่องราคา และสร้างความเชื่อมั่นได้ดี
  • สร้าง Community ถ้าเรามีแบรนด์แตกต่าง และ มี Community ของคนที่รักสินค้า และ เชื่อมั่นในตัวสินค้า คราวนี้สินค้าของเราก็จะมีลูกค้าที่เหนียวแน่น และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

Personal Branding จะยิ่งสำคัญ และมีการแข่งขันสูงขึ้น

ถ้าพูดถึงการตลาดที่มาแรงที่สุดใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ทุกคนคงพูดถึง Personal Branding โดยเฉพาะการมาของ TikTok ทำให้เกิด Personal Branding ในรูปแบบต่างๆ มากมาย ทั้งการให้ความรู้ ไลฟ์สไตล์ การแต่งตัว การออกกำลังกาย การท่องเที่ยว การใช้ชีวิตหรูหรา และอื่นๆ

การทำ Personal Branding ได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าทำสำเร็จ มีผู้ติดตามหรือผู้ที่เป็นแฟนคลับของเราจำนวนหนึ่ง ก็เพียงพอที่เราจะสามารถขายสินค้าและบริการ หรือทำอาชีพเป็น KOL หรือ Influencer ได้แล้ว เพราะผู้ติดตาม และให้ความสนับสนุนเรา มีแนวโน้มที่จะเชื่อในสิ่งที่เราพูด หรือ แนะนำ มากกว่าคำพูดจากโฆษณา หรือ ดารานักแสดงถึง 80%

ดังนั้นในปี 2023 ที่ทุกคนมุ่งเน้นสู่ Short Video แน่นอนว่าจะต้องมีคนทำ Personal Branding มากขึ้น และการแข่งขันต่างๆ จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน

Personal Branding ปี 2023 ต้องทำอย่างไร

สำหรับเรื่อง Personal Branding นั้น ก่อนอื่น ผมเชื่อว่า มันไม่ได้ยากอะไรนัก กล่าวคือ เราทำอะไรอยู่ ก็ออกมาพูด ออกมาสื่อสารเรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพ หรือตัดต่อระดับ Professional เพียงแต่ให้ความรู้ ความบันเทิง สาระ หรืออะไรก็แล้วแต่ รวมถึงอาจจะเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของเราด้วย สิ่งเหล่านี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งฟังดูแล้วไม่น่ายาก

แต่สิ่งที่ยากน่าจะเป็น เราตัดสินใจที่จะเริ่มทำมัน เพราะคิดว่า ทำไม่ได้ ไม่ชอบออกกล้อง เป็นคนเก็บตัว Introvert สิ่งที่เรามีความรู้หรือทำอยู่ไม่ดีพอที่จะนำเสนอให้คนอื่น หรือ ข้ออ้างต่างๆ มากมาย

และผมเชื่อว่า ทุกคนคงเห็นว่าสำคัญ และเห็นประสิทธิภาพของ Personal Branding กันอยู่แล้ว ดังนั้น นี่คือคำแนะนำของผมสำหรับคนที่จะเริ่ม หรือ กำลังทำ Personal Branding ในปี 2023 ครับ

  • Personal Branding เป็นการตลาดที่ง่ายที่สุด และได้ผลดีที่สุด
  • ค้นหาตัวเองให้พบ ว่าชอบอะไร แล้วทำ Personal Branding ในเรื่องนั้นจะง่ายที่สุด เพราะเรามี Passion และไม่เบื่อที่จะทำมัน
  • การทำ Personal Branding ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานของเรา สินค้าและบริการของเรา ก็ถือว่าดีเช่นกัน เพราะเราจะรู้ในเรื่องของงาน สินค้า หรือ บริการของเรา มากกว่าคนทั่วไป
  • การทำ Personal Branding อาจจะไม่ต้องเน้นการออกกล้อง หรือการออกมาไลฟ์ก็ได้ อาจจะเน้นเรื่องของ ภาพ การเล่าเรื่อง การเขียนบทความ ก็ได้เช่นกัน แต่ก็ต้องมีเอกลักษณ์ และ ภาษา เป็นของตัวเอง
  • Content ต่างๆ ที่จะทำ ไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพ แต่ต้องมีความ Real ต้องเป็นตัวตนจริงๆ
  • ความสม่ำเสมอและความอดทน สำคัญที่สุดในการทำ Personal Branding
  • เวลาที่ดีที่สุดในการทำ Personal Branding คือ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้
  • สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้น ขอให้ได้ทำ ไม่ต้องรอ Perfect การทำ Personal Branding ถึงทำพลาดในช่วงแรกๆ ในเรื่องของ การตัดต่อ การถ่ายวีดีโอ การถ่ายภาพ ก็ไม่มีคำว่าขาดทุน สิ่งต่างๆ จะดีขึ้นใน Content ถัดๆ ไป
  • เราเปลี่ยนเรื่องที่เราสนใจได้เสมอ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสิ่งเดิมๆ
  • ความเสี่ยงที่สูงที่สุด ก็คือ การที่เราไม่เคยเสี่ยงอะไรเลย

ผมเชื่อว่า Personal Branding นั้น ยากแค่การเริ่มต้นครับ ขอให้ได้เริ่ม และได้สนุกกับมัน ด้วยความเป็นตัวของเราเอง แล้วเราจะพบกับการตลาดที่น่าสนใจมากๆ อีกโลกหนึ่ง

Community สิ่งที่สำคัญที่กำลังจะเปลี่ยนโลกการตลาด

สำหรับ Community นั้น มีมานานแล้วครับ ไม่ใช่เพิ่งจะมี ยกตัวอย่างเช่น

  • Webboard
  • Facebook Group
  • Line Open Chat
  • Line Group

เพียงแต่ช่วงหลังมีอิทธิพล และ มีผลต่อการตลาดสูงขึ้นมาก เพราะการที่ คนในปัจจุบัน มี Internet และมือถือ เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารกัน ทำให้คนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน มาพบเจอกันได้ง่ายขึ้น เมื่อมีกลุ่มของคนที่สนใจเหมือนกัน และประกอบกับมี KOL หรือ Influencer ในเรื่องที่สนใจเหมือนกันอยู่ในกลุ่ม จึงทำให้ Community มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินค้าและบริการ มากกว่า โฆษณา หรือ จากดารา ซะอีก เหตุผลหลักคือ เรามักจะเชื่อคนที่คล้ายๆ กับเรา นั่นเอง

หากมองผ่านๆ Personal Branding ก็เป็น Subset หนึ่งของ Community ดังนั้น การสร้าง Personal Branding หรือ การทำ Branding ต่างๆ ก็อาจจะเป็น Subset หนึ่งของการสร้าง Community เช่นกัน ซึ่งสินค้าและบริการไหน มี Community แข็งแกร่ง มีการบอกต่อ มีการแนะนำที่แข็งแกร่ง โอกาสที่จะเป็นสินค้าและบริการที่ยั่งยืน ก็มีสูงด้วยเช่นกัน

เราจะสร้าง Online Community กันอย่างไรในปี 2023

Community แม้จะมีมานานแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะเข้าใจง่าย และการสร้าง Community ก็ไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนกับการขายสินค้า หรือการยิง Ads โฆษณา ที่มีจุดประสงค์ชัดเจนและวัดผลได้ง่าย การทำ Community ไม่ได้สนใจว่ามันจะต้องเป็นกลุ่มใหญ่ หรือว่าเป็นที่รู้จักกว้างขวาง แต่ต้องเป็นกลุ่มของคนที่มีความสนใจเดียวกัน ต้องการที่จะเรียนรู้ หรือสร้างสรรค์บางอย่างไปพร้อมๆ กัน ช่วงแรก กลุ่มคนที่สร้าง Community หรือ Founder อาจจะเป็นคนที่ทำให้ Community โตขึ้นมา แต่ในที่สุดแล้ว ทุกๆ คนที่อยู่ใน Community จะเป็นคนที่ทำให้ Community นั้นโตขึ้น

สำหรับ E-Commerce หรือการขายของออนไลน์นั้น การสร้าง Community อาจจะขัดกับจุดประสงค์หลัก ซึ่งก็คือ ความต้องการให้สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จัก สามารถขายได้ ซึ่งถ้าแบรนด์สินค้าหรือบริการใด ทำโดยมีจุดประสงค์เป็นเรื่องของการขาย เรื่องของเงิน รับรองได้เลยว่า Community นั่นไม่มีทางเกิด และไม่ใช่ Community ที่แข็งแกร่ง

และนี่คือสิ่งที่ต้องคิดและทำ หากเราต้องการสร้าง Community อย่างจริงจัง

  • Community จะไม่โฟกัสไปที่สินค้า หรือแบรนด์ แต่จะโฟกัสไปที่ความสนใจของผู้คน ที่ต้องการเรียนรู้ ประสบความสำเร็จ หรือ เข้าใจ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไปด้วยกัน
  • Community เกิดขึ้นเพื่อ ผลักดัน ให้กำลังใจ สร้างแรงบันดาลใจ คนในกลุ่ม ที่สนใจเรื่องเดียวกัน
  • Community จะโตขึ้นได้ เกิดจากการสื่อสารออนไลน์ การผลักดันซึ่งกันและกันให้เกิดผลลัพธ์ ความน่าเชื่อถือ เมื่อ Community โตขึ้น กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อ Community ก็จะมีอิทธิพลต่อคนหมู่มาก มากขึ้นไปด้วย
  • สอน ให้ความรู้ เป็นอีกหนึ่งหนทางในการพัฒนา Community ให้เติบโตขึ้นได้
  • ทำกิจกรรม สร้างความสำเร็จ เรียนรู้ และ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ร่วมกันเป็นกลุ่ม การสร้าง Community คือการร่วมกันเดินทางเพื่อจุดประสงค์ที่สนใจร่วมกัน ของคนที่มีความสนใจเหมือนๆ กัน
  • เมื่อ Community โตแล้ว หรือมีทิศทางที่ชัดเจน การสร้างเงิน จากสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถทำได้ ซึ่งอาจจะต้องดูแนวทางความเหมาะสมอีกครั้ง
  • การสร้าง Community คือการสร้างการพูดคุยกัน มีปฎิสัมพันธ์ ไม่ใช่การสร้าง Content
  • การสร้าง Community ต้องใช้เวลา และความสม่ำเสมอ ไม่สามารถคาดหวังได้ในช่วงแรกๆ ว่าจะได้ผลลัพธ์ตอบแทนมาอย่างรวดเร็ว
  • คิดก่อนว่า ทำไมเราถึงอยากอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น ทำไมเราถึงอยากเป็นผู้นำกลุ่มคนใน Community นั้น

Affiliate Marketing อีกหนึ่งสิ่งที่จะมีบทบาทมากขึ้นในปี 2023

สำหรับ Affiliate Marketing หรืออีกชื่อหนึ่งที่เราน่าจะเข้าใจกันง่ายขึ้นคือ การเป็นนายหน้ารับค่าคอมมิชชั่นจากแบรนด์สินค้าที่เราช่วยโปรโมทผ่านทาง Online เป็นสิ่งที่มีมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ทำไมถึงจะมีบทบาทมากขึ้นในปี 2023 เหตุผลหลักๆ ก็เพราะ TikTok นั่นเอง

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา TikTok เป็น Platform ที่ใช้สร้างตัวตนได้เร็วที่สุด มี Content Creator เกิดใหม่มากที่สุด มี User Engagement สูงที่สุด มีคนสนใจที่จะใช้งานมากที่สุด และใช้ขายสินค้าได้ง่ายที่สุด

เมื่อ TikTok เปิด TikTok Shop เน้น E-Commerce เต็มรูปแบบ ประกอบกับเป็นแหล่งที่อยู่ของ Content Creator และ ลูกค้ามากมาย การที่ TikTok ทำ Affiliate หรือมีระบบรองรับการจัดการค่าคอมมิชชั่นให้แก่นายหน้าขายสินค้าใน Platform จึงเป็นสิ่งที่ดูดีมากๆ

สิ่งที่ TikTok ทำ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Marketplace อย่าง Lazada และ Shopee โดยตรง ในประเทศจีน ยอดขายของหลายๆ แบรนด์ใน TikTok ก็เยอะกว่าใน Taobao, TMall มาตั้งแต่ปี 2019 แล้ว ดังนั้น เราคงเห็นการขยับตัวของ Lazada และ Shopee ในการแข่งขันกับ TikTok มากขึ้นเช่นกัน นอกจากจะแข่งขันกันเอง

เราจะรับมือกับ Affiliate Marketing ในปี 2023 อย่างไร

ผมคิดว่าการที่ Affiliate Marketing ที่กำลังจะมา เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ เพราะการทื่มีอีก Platform หนึ่งมาเป็นทางเลือกในการขายของออนไลน์ หรือทำธุรกิจออนไลน์ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่ามีการผูกขาด ยิ่ง TikTok เป็น Platform ที่มีความง่าย ความ Real และเข้าถึงผู้คนในอีกรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างจาก Marketplace หรือ E-Commerce Platform อื่นๆ ก็ยิ่งเหมือนทำให้มีช่องทางที่แตกต่างมากขึ้น

และนี่คือสิ่งที่เราต้องคิดและทำ หากต้องการประสบความสำเร็จในการนำสินค้าไปให้ KOL หรือ Influencer มาร่วมทำการตลาดผ่านทาง Affiliate Marketing ให้เราครับ

  • สินค้าต้องคุณภาพเหมาะสมกับราคา เพราะคงไม่มี Content Creator หรือ KOL คนไหนอยากจะแนะนำสินค้าไม่ดีให้กับคนที่ติดตาม
  • ต้นทุนของสินค้าจะถูกบวกด้วยค่าคอมมิชชั่น ซึ่งอาจจะคิดง่ายกว่าค่า โฆษณา ซะอีก เพราะคิดทุกครั้งที่ขายได้ ในขณะที่ค่าโฆษณาต้องเสียเสมอ แม้ว่าจะขายสินค้าไม่ได้ก็ตาม
  • เจ้าของแบรนด์ เจ้าของสินค้า ต้องกล้าที่จะให้ Content Creator เป็นคนกำหนดการทำ Content ด้วยตัวเอง เพราะ Content Creator แต่ละคนก็มีรูปแบบตัวตนเฉพาะของตัวเอง ที่คนติดตามยอมรับ
  • อำนวยความสะดวก เพื่อให้ทาง Content Creator สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น ส่งสินค้าให้รีวิว เตรียมสถานที่หรือเครื่องมือให้ในการทำ Content

ผมเชื่อว่า Affiliate Marketing จะคึกคักมากๆ ในปีนี้ แต่ก็ต้องดูว่าแต่ละ Platform จะจัดการอย่างไร เพราะเมื่อมีผู้ใช้หรือลูกค้าที่เกี่ยวข้องเยอะขึ้น แน่นอนว่าการควบคุมจะต้องมีตามมา เพื่อไม่ให้มีปัญหาในระยะยาวนั่นเอง

สรุป

และนี่คือเทรนด์ หรือ สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2023 สำหรับการขายของออนไลน์ E-Commerce รวมถึงการทำการตลาด Marketing ซึ่งต้องย้ำอีกครั้งว่า เป็นการประเมินและสรุป จากประสบการณ์ ความคิด รวมถึงจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่ผมได้อ่านและได้ดูมาจาก Social Media ของตัวผมเอง อาจจะผิดไปเยอะ หรืออาจจะถูกต้องบ้าง ก็คงต้องดูกันต่อไปครับ แต่โดยรวมคาดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ในปี 2023

การทำนายเทรนด์ต่างๆ ก็เพื่อให้เราเตรียมพร้อม หาความรู้ หาทางรับมือ หรือหาทางแก้ไข มันคงจะไม่มีประโยชน์ถ้าเราทำนายเทรนด์ได้ถูกต้อง แต่ไม่ได้เตรียมแผนไว้รับมือ หรือปรับปรุงพัฒนาอะไรเพื่อรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเลย และถึงแม้ว่าเราจะทำนายเทรนด์ผิดพลาดไป แล้วก็เสียทรัพยากรในการเตรียมพร้อมไปแล้ว ผมก็เชื่อว่าไม่มีอะไรสูญเปล่าอยู่ดี

แม้อนาคตจะดูท้าทาย ดูว่ามีอะไรต้องทำมากมาย ดูเหมือนว่าเราจะตามไม่ทันกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ผมเชื่อว่า พวกเราผ่านสิ่งต่างๆ มามากมายแล้วครับ ทั้งสงครามการค้า กีดกันการค้า โควิด-19 สงครามยูเครน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ปรับตัว และอยู่กับมันให้ได้

ขอให้ทุกๆ คนโชคดี และ ประสบความสำเร็จในปีนี้ครับ

Leave a Reply